ตึกเอ็มไพร์สเต็ทที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เคยเป็นตึกที่สูงในยุคแรกๆ ประมาณ พ.ศ. 2474 ของอเมริกา ความสูง 381 เมตรเฉพาะช่วงตึกและ 443.2 เมตรรวมยอด และมาเสียแชมป์ไปให้กับตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ตึกเหนือ ในปลายปี 2513 ก่อนที่จะสร้างแฝดตึกทางใต้ในหลายปีต่อมา และอีกหลายสิบปีต่อมาตึกแฝดนี้ก็หายไปจากเหตุการณ์วินาศกรรมสุดช็อคโลก 9/11 เอ็มไพร์สเต็ทเคยเป็นฉากประกอบหนังคิงคองปีนตึกโคตรดัง และของที่ระลึกที่นี่ก็เป็นตุ๊กตาคิงคองอ้วนๆ น่ารักน่ากอด มีหลายไซส์หลายขนาด ขึ้นอยู่กับความสามารถของเงินในกระเป๋าเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ มีของขายข้างบน อะไรที่เป็นจุดท่องเที่ยวมักจะมีของขายที่สถานที่นั้นๆ จัดไว้ เช่น โปสการ์ด พวงกุญแจและมากมายประดามีที่เขาจะผลิตอะไรออกมาขาย (ประเทศไทยน่าจะมีอะไรแบบนี้เพิ่มเติมไปอีกนอกจากของกิน มีบ้างแต่ไม่มากเท่าประเทศอื่น และน่าจะทำจุดจำหน่ายโปสการ์ดกับส่งในที่เดียวกัน) ค่าเข้าชมมี 2 ราคา ถ้าอยากดูชั้นข้างบนก็ต้องเสียค่าเข้าอีก รวมทั้งหมดตกราว 1,000 – 1,200 บาท จำไม่ได้แล้วว่าราคาเท่าไหร่ เก็บตั๋วไว้ดีมาจนหาไม่เจอ แต่น่าจะอยู่ประมาณนี้ วันๆ หนึ่งมีคนมารอเข้าคิวเพื่อเข้าชมวิวบนยอดตึกเยอะมาก จะเห็นคิวยาวต่อแถวเป็นกิโลๆ โดยเฉพาะวันหยุดยาว เทศกาลปีใหม่ ที่นักท่องเที่ยวทั่วอเมริกาและน่าจะทั่วโลกหลั่งไหลไปดูแสงสีที่นิวยอร์ค แต่โชคดีที่ตอนที่มาคนมาเที่ยวน้อยมาก

หลังจากซื้อตั๋ว (อันนี้มีขายหน้าเคาเตอร์เลย หรือบางคนอาจจะซื้อมากับทัวร์และโรงแรม) ก็จะมีจุดตรวจความปลอดภัย เช็คกระเป๋าและสแกนทุกสิ่งทุกอย่าง อารมณ์เหมือนมาสนามบิน และก็จะมีทางวนๆ ขึ้นลิฟต์ เพื่อตรงสู่ข้างบน ก็คงเหมือนตึกระฟ้าส่วนใหญ่ในเมือง ที่เปิดชั้นบนให้สาธารณะชนเข้าชมได้ แต่ต้องเสียเงิน ชั้นอื่นๆ ด้านล่างที่เราไม่เห็น และต้องขึ้นทางอื่น ก็เป็นโรงแรม ร้านอาหาร อพาร์ทเม้นท์ สำนักงานให้เช่าไป แต่เราว่ามันสูงมาก ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่อย่างไรในที่สูงๆ แบบนี้

แม้นิวยอร์คจะมีตึกระฟ้าผุดขึ้นและสูงขึ้นไปอีก ยิ่งกว่าดอกเห็ดแต่ตึกเอ็มไพร์สเต็ทก็ยังถือเป็นไอคอนหลักๆ ของนิวยอร์ค เหตุผลหนึ่งก็น่าจะมาจากมีหนังมาถ่ายมากมายในสมัยก่อนเก่า อาจจะมีแจมบ้างในหนังสมัยใหม่แต่คงไม่มาก หรือเห็นแว๊บๆ พอมายืนข้างบน เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของเมืองได้ไกลแสนไกล จะจินตนาการโรแมนซ์เหมือนหนังที่เคยดูก็ได้ จะอิจฉา จะอืออากับความเว่อร์วังของนิวยอร์คก็ได้ แต่ความแตกต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบันคือสมัยก่อนไม่มีลวดกั้น ตอนนี้ต้องมีเพราะคิดว่าคงมีคนฆ่าตัวตายเยอะ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่งในประเทศโลกที่ 1 มักจะมีตาข่ายขึง ลวดกั้น ด้วยช่องว่างระหว่างรายได้คงจะโหวงเหวงห่างกันไกล หรือความเครียดสารพัดจะถาถม คนบางส่วนก็เลือกที่จะมาจบชีวิตที่สูงๆ ซึ่งก็เป็นประเด็นให้เราศึกษาต่อไป ว่าทำไม อะไร อย่างไร เพราะอะไร (คงจะมีวิจัยรองรับอะไรแบบนี้แล้วแต่ยังหาอ่านไม่เจอ)

ข้อสังเกตุ : พนักงานที่นี่ส่วนใหญ่เป็นละตินและคนผิวสี ประเด็นความไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนผิวขาวและคนผิวสี (รวมคนอัฟริกัน ละตินด้วย) ยังเป็นประเด็นร้อนอยู่เป็นมาหลายสิบปีและมีทีท่าจะยังคงร้อนอบอ้าวต่อไปอีก อาชีพที่เราว่ารู้สึกไม่ปลอดภัยกับร่างกายคือ คนที่ดูแลลิฟต์ ถ้าเกิดทำงานเป็นชั่วโมงๆ ขึ้นๆ ลงๆ 300 กว่าเมตรเราว่า มวลร่างกายเราคงแปลกประหลาดและไม่รู้ว่าความเคยชินต่อแรงโน้มถ่วงของโลกจะเป็นอย่างไร อันนี้ก็ขอบันทึกไว้เพื่อศึกษาและค้นคว้าต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตามพนักงานคนผิวขาวก็อาจจะมีแต่อาจจะไม่เห็น หรือเขาอาจจะเข้าห้องน้ำอยู่
นิวยอร์คเป็นเมืองใหญ่ รุ่มรวยศิลปะ มั่งคั่งไปด้วยวัฒนธรรมและสิงเร้าใจมากมาย ใช้เวลาสำรวจและค้นหามนต์เสน่ห์ของนิวยอร์ค คงใช้เวลาเป็นปีๆ ถึงจะครบทั้งเมือง สาธยายความเป็นนิวยอร์คยาก เพราะแต่ละเมืองก็มีจุดเด่นของใครของมัน นิวยอร์คจุดเด่นของมันคือ มีคนหลากชาติ หลายภาษา หลากวัฒนธรรม และมากความเชื่อ ต่างเผ่าพันธ์ มาอยู่ร่วมกันที่นี่ ถ้าเรามาอยู่หรือโตที่นี่ คงต้องได้เรียน 4-5 ภาษาเป็นอย่างน้อยมั๊ง (ซึ่งคนท้องถิ่นจริงๆ อาจจะไม่ได้เรียนมากขนาดนั้น) แต่ค่าเรียนคงแพงมาก พอๆ กับค่าครองชีพและค่าอาหารที่นี้

ขอจบดื้อๆ ว่านานๆ ครั้งมาเที่ยวนิวยอร์ค ดูโน่นนี่ สัก 4-5 วันก็คงพอ แต่ให้มาอยู่คงต้องคิดอีกที